เจาะลึกวิธีเพิ่มกำไรร้านอาหาร ด้วยเทคนิคง่ายๆ แบบมืออาชีพ

รู้ไหมว่ากำไรร้านอาหารในไทยควรอยู่ที่เท่าไร?

หลายคนที่เริ่มทำร้านอาหารมักมีคำถามว่า “ร้านอาหารทำกำไรได้แค่ไหน?” หรือ “ธุรกิจเราคุ้มไหม?” ซึ่งคำตอบอยู่ที่ “กำไรสุทธิ (Net Profit Margin)” ของร้านคุณ

ในประเทศไทย กำไรร้านอาหารโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5%–10% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าดีกว่าอุตสาหกรรมอื่น เช่น ค้าปลีกหรือบริการ ที่มักมีกำไรสุทธิอยู่เพียง 2%–3%

แต่การจะเข้าถึงระดับกำไรนี้ได้ ต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนและการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงผันผวน

วัดความสามารถในการทำกำไรของร้านได้อย่างไร?

มีตัวชี้วัด 2 ตัวที่ช่วยให้คุณเข้าใจสุขภาพทางการเงินของร้านคุณ:

  1. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin):
    คำนวณจากรายได้หลังหักต้นทุนวัตถุดิบ (COGS) ช่วยดูว่าคุณตั้งราคาขายอาหารเหมาะสมหรือไม่
  2. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin):
    คือกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง รวมถึงค่าเช่า ค่าแรง ค่าสาธารณูปโภค และภาษี แสดงถึงผลกำไรจริงของร้าน

อีกเครื่องมือสำคัญคือ จุดคุ้มทุน (Break-Even Point) ซึ่งคำนวณจาก

ต้นทุนคงที่ทั้งหมด÷กำไรขั้นต้นต่อหน่วยต้นทุนคงที่ทั้งหมด÷กำไรขั้นต้นต่อหน่วย

เพื่อดูว่าต้องขายเท่าไรถึงจะเริ่มมีกำไร

ต้นทุนหลักของการทำร้านอาหารในประเทศไทย

  1. ค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภค
    ค่าเช่าพื้นที่ในกรุงเทพฯ อาจอยู่ที่ 500–1,500 บาทต่อตร.ม. ขึ้นอยู่กับทำเล ส่วนค่าน้ำค่าไฟก็เป็นภาระสำคัญที่ต้องควบคุมให้ดี โดยเฉพาะร้านที่ใช้เตาไฟฟ้า หรือระบบปรับอากาศทั้งวัน
  2. ต้นทุนแรงงาน
    ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 330–370 บาท/วัน (แล้วแต่จังหวัด) แต่ยังต้องคำนึงถึง OT, โบนัส, ค่าเดินทาง หรือค่าอาหารพนักงาน
  3. อุปกรณ์และวัตถุดิบในครัว
    วัตถุดิบคุณภาพสูงและอุปกรณ์ทำครัวที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากไม่มีระบบจัดซื้อที่ดี อาจทำให้ต้นทุนบานปลายได้ง่าย

กลยุทธ์เพิ่มกำไรร้านอาหารในไทยให้เหนือกว่าค่าเฉลี่ย

1. ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด

ต้นทุนวัตถุดิบ (Food Cost) ถือเป็นต้นทุนแปรผันที่ส่งผลต่อกำไรโดยตรง โดยทั่วไปควรควบคุมให้อยู่ในช่วง 28%–35% ของยอดขายทั้งหมด หากสูงกว่านี้มากอาจแปลว่าร้านมีปัญหาเรื่องการจัดซื้อ การจัดเก็บ หรือการควบคุมปริมาณการใช้วัตถุดิบ

แนวทางปฏิบัติ:

  • ใช้ ระบบจัดซื้ออัตโนมัติ เช่น Food Market Hub ที่สามารถเปรียบเทียบราคาจากหลายซัพพลายเออร์ได้ทันที
  • วางระบบการอนุมัติการสั่งซื้อ เช่น ต้องผ่านผู้จัดการก่อนสั่งซ้ำ
  • ตรวจสอบรายการวัตถุดิบที่ใช้มากเกินไปหรือต้นทุนสูงกว่ามาตรฐาน เพื่อหาทางปรับสูตรหรือหาวัตถุดิบทดแทน
  • วางระบบ First-In, First-Out (FIFO) เพื่อหมุนเวียนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง: หากร้านใช้กุ้งขาวเบอร์ใหญ่ในทุกเมนู แต่ราคาผันผวนมาก อาจพิจารณาใช้กุ้งเบอร์กลางแทนในบางเมนู เพื่อลดต้นทุนโดยไม่กระทบรสชาติ

2. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ

การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนทั้งหมดเป็นหัวใจของการทำกำไร การใช้ซอฟต์แวร์ช่วยจัดการเช่น Food Market Hub จะช่วยแสดงภาพรวมการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ ทำให้คุณเห็นว่า “เงินไหลออกตรงไหนมากเกินไป”

สิ่งที่ควรติดตามเป็นประจำ:

  • ต้นทุนวัตถุดิบ (COGS): ติดตามรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน
  • ยอดซื้อวัตถุดิบย้อนหลัง: เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการสั่งซื้อและป้องกันการสต็อกเกิน
  • เปอร์เซ็นต์ของ Food Waste: เพื่อลดของเสียและต้นทุนจม
  • ยอดขายรายเมนู: เพื่อวัดว่าเมนูใดขายดีแต่ไม่ทำกำไร หรือทำกำไรดีแต่ขายไม่ออก

ตัวอย่าง: หากพบว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อเนื้อวัวพุ่งสูงขึ้น แต่ยอดขายเมนูเนื้อไม่เพิ่ม อาจต้องพิจารณาลดจำนวนเมนูเนื้อ หรือหาซัพพลายเออร์ใหม่

3. ตั้งราคาเมนูอย่างมีกลยุทธ์

หลายร้านอาหารยังคงใช้สูตรเดิมในการตั้งราคา เช่น ต้นทุนคูณ 3 หรือคูณ 4 แต่ในยุคนี้ต้องอิงจาก พฤติกรรมผู้บริโภค ความคุ้มค่า และความรู้สึกของลูกค้า ควบคู่ไปกับข้อมูลเชิงตัวเลข

กลยุทธ์ที่แนะนำ:

  • ทำ Menu Engineering เพื่อจัดหมวดหมู่เมนูออกเป็น 4 ประเภท:
  • Star (ขายดี กำไรสูง) – ควรโปรโมทเพิ่ม
  • Plow Horse (ขายดี กำไรต่ำ) – อาจปรับสูตรเพื่อลดต้นทุน
  • Puzzle (ขายน้อย กำไรสูง) – อาจโปรโมทด้วยวิธีอื่น เช่น จัดเซต
  • Dog (ขายน้อย กำไรต่ำ) – พิจารณาตัดออกหรือเปลี่ยนสูตร
  • ใช้เทคนิค จิตวิทยาราคา เช่น ราคาที่ลงท้ายด้วย .9 หรือ .5 เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
  • ใช้ ภาพถ่ายเมนูที่ดึงดูด หรือจัดวางในตำแหน่งที่ลูกค้าสังเกตง่ายที่สุดในเมนูเล่ม

ตัวอย่าง: จากการวิเคราะห์ Menu Engineering หากพบว่าเมนู “ไก่ทอดซอสเกาหลี” ทำกำไรสูงแต่ไม่ค่อยมีคนสั่ง อาจปรับให้อยู่ในเซตเมนูพร้อมข้าวและน้ำ เพื่อเพิ่มการซื้อ

Ready to Transform Your Restaurant?

Join hundreds of restaurants already using Thefeast to streamline their operations and boost profits.

LINE Logo
Chat Now ×