การจัดซื้อวัตถุดิบสำหรับร้านอาหารเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและซับซ้อน ซึ่งไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการวางแผน ควบคุมต้นทุน และบริหารจัดการซัพพลายเออร์อย่างมีระบบ โดยกระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนและช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้อย่างมืออาชีพในทุกขั้นตอน
จากการวางแผนการสั่งซื้อ การอนุมัติคำสั่งซื้อ การตรวจสอบใบสั่งซื้อจนถึงการรับของในครัว การทำงานอย่างมีระเบียบสามารถลดปัญหาสินค้าขาดหรือของเสียได้อย่างมาก ระบบที่ดีจะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่น ลดความผิดพลาดจากการทำงานแมนนวล และทำให้ธุรกิจร้านอาหารของคุณสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
1. การขอซื้อ (Purchase Request)
นี่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการจัดซื้อ ที่พนักงานในครัวหรือทีมงานสามารถแจ้งความต้องการวัตถุดิบที่ต้องใช้ เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมู ซอสปรุงรส หรือผักสด ระบบที่ดีควรมีฟอร์มที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถระบุจำนวน วันที่ต้องการใช้ หรือสาขาที่ต้องการได้อย่างชัดเจน
ถ้าไม่มีระบบ:
- พนักงานอาจแจ้งด้วยกระดาษ โทรศัพท์ หรือแชต ซึ่งเสี่ยงต่อการลืม หรือไม่มีหลักฐานยืนยัน
- ไม่มีวิธีติดตามว่าสั่งซื้อเพราะเหตุใด หรือใครเป็นคนขอ
ถ้ามีระบบ:
- พนักงานสามารถส่งคำขอผ่านระบบ พร้อมเลือกวัตถุดิบจากแค็ตตาล็อกที่ตั้งไว้ล่วงหน้า
- ผู้จัดการสามารถดูคำขอทุกอย่างในระบบเดียว และจัดลำดับความสำคัญได้ง่าย
- มีการเก็บประวัติคำขอทุกรายการ ตรวจสอบย้อนหลังได้
2. การอนุมัติคำขอซื้อ (Approval)
เมื่อมีคำขอ ระบบควรส่งต่อให้ผู้มีอำนาจอนุมัติโดยอัตโนมัติ เช่น ผู้จัดการร้าน หรือเจ้าของร้าน โดยสามารถตั้งเงื่อนไขการอนุมัติ เช่น งบประมาณต่อวัน หรือรายการที่ต้องตรวจสอบพิเศษ
ถ้าไม่มีระบบ:
- ต้องไล่ดูข้อความหรือเอกสารทีละอัน บางครั้งอนุมัติล่าช้าหรือข้ามขั้นตอน
- ไม่มีระบบช่วยเตือน หรือเก็บบันทึกว่ามีการอนุมัติจากใคร เมื่อไร
ถ้ามีระบบ:
- ผู้มีอำนาจสามารถอนุมัติได้ทันทีผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
- ระบบส่งแจ้งเตือนเมื่อมีคำขอใหม่ หรือคำขอรออนุมัติ
- มีการจัดเก็บลายเซ็นดิจิทัลและเวลาการอนุมัติแบบอัตโนมัติ

3. การสร้างใบสั่งซื้อ (Purchase Order)
ขั้นตอนนี้คือการเปลี่ยนคำขอที่ได้รับการอนุมัติให้กลายเป็นใบสั่งซื้ออย่างเป็นทางการ เพื่อส่งให้ซัพพลายเออร์ การสร้าง PO ควรมีความแม่นยำ ระบุรายละเอียดครบถ้วน และสามารถอ้างอิงกลับไปยังคำขอเดิมได้
ถ้าไม่มีระบบ:
- ต้องกรอกใบ PO ด้วยมือ เสี่ยงพิมพ์ผิด หรือส่งผิดซัพพลายเออร์
- ต้องไล่เปิดเอกสารเก่าเพื่อเปรียบเทียบราคา และอาจไม่มีเวลาตรวจสอบทุกครั้ง
ถ้ามีระบบ:
- ระบบสามารถสร้างใบสั่งซื้อจากคำขอที่อนุมัติได้ทันที พร้อมข้อมูลที่กรอกไว้ล่วงหน้า
- แสดงราคาซื้อครั้งล่าสุดของวัตถุดิบแต่ละรายการ เพื่อช่วยตัดสินใจ
- ส่ง PO ไปยังซัพพลายเออร์ผ่านอีเมลหรือไลน์ได้ทันทีจากระบบ
- ลดเวลาการกรอกข้อมูลซ้ำ และเพิ่มความแม่นยำ
4. การรับสินค้า (Goods Receiving)
กระบวนการรับสินค้าเป็นด่านสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างการจัดซื้อกับการจัดเก็บวัตถุดิบ หากดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นระบบ จะช่วยลดปัญหาวัตถุดิบขาดช่วง ลดของเสีย และป้องกันการสูญเสียจากความผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อซัพพลายเออร์จัดส่งของมายังร้านอาหาร หรือครัวกลาง ระบบควรมีฟังก์ชันสำหรับ “การตรวจรับสินค้า” (Receiving Function) เพื่อให้พนักงานสามารถตรวจสอบวัตถุดิบที่มาถึงได้อย่างละเอียด โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:
- ตรวจสอบความตรงกันของสินค้าและใบสั่งซื้อ (PO Matching): พนักงานสามารถเปิดใบสั่งซื้อที่เคยบันทึกไว้ในระบบขึ้นมาตรวจเช็คกับของที่จัดส่งมาว่าตรงกันหรือไม่ ทั้งในแง่ของจำนวน รายการ ขนาด หน่วย และคุณภาพ
- ระบุสินค้าขาดหรือเกิน: หากมีรายการใดที่จัดส่งมาไม่ครบ เกินมา หรือไม่เป็นไปตามที่สั่ง ระบบควรให้สามารถทำ “รายการรับไม่ครบ” หรือ “ปฏิเสธการรับบางส่วน” ได้ทันที โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งกลับไปยังฝ่ายจัดซื้อเพื่อดำเนินการกับซัพพลายเออร์ต่อไป
- บันทึกของเสียหรือของชำรุด: หากพบวัตถุดิบที่หมดอายุ เสียหาย หรือคุณภาพไม่ตรงตามมาตรฐาน ระบบควรให้พนักงานสามารถแนบรูปถ่ายและบันทึกหมายเหตุประกอบไว้ เพื่อเก็บเป็นหลักฐาน และใช้ในการประเมินซัพพลายเออร์ในระยะยาว
- บันทึกเข้าสต๊อกอัตโนมัติ: เมื่อรับของเรียบร้อย ระบบจะบันทึกรายการวัตถุดิบเข้าคลังสินค้าโดยอัตโนมัติ พร้อมระบุวันหมดอายุ (ถ้ามี) เพื่อใช้ต่อยอดในการควบคุมการเบิกจ่าย การหมุนเวียนวัตถุดิบ และการตรวจสอบสินค้าคงเหลือในแต่ละวันได้อย่างแม่นยำ
ถ้าไม่มีระบบ:
- อาจรับของโดยไม่เช็คกับใบสั่งซื้อ ทำให้เกิดการรับของผิด
- ไม่มีบันทึกว่าของเข้าร้านเมื่อไร ใครเป็นคนตรวจรับ หรือจำนวนที่รับจริง
ถ้ามีระบบ:
- พนักงานสามารถเปิดระบบเช็คสินค้าตาม PO ได้ทันที
- หากมีของขาด ระบบจะแจ้งเตือนและบันทึกไว้เพื่อแจ้งซัพพลายเออร์
- จำนวนสินค้าที่รับจะถูกเพิ่มเข้าสต๊อกแบบเรียลไทม์ พร้อมระบุวันหมดอายุ
- ลดของเสียจากการรับผิดพลาด และเพิ่มความถูกต้องในการควบคุมสต๊อก

5. การบันทึกบัญชีและวิเคราะห์ข้อมูล (Invoicing & Analysis)
หลังจากรับของ ร้านอาหารจำเป็นต้องมีระบบจัดเก็บใบแจ้งหนี้ และสามารถใช้ข้อมูลนั้นในการวิเคราะห์ต้นทุน และวางแผนทางธุรกิจ
ถ้าไม่มีระบบ:
- ต้องเก็บใบแจ้งหนี้ด้วยแฟ้มเอกสาร ซึ่งอาจหายหรือเสียหายได้
- การสรุปยอดใช้จ่ายหรือวิเคราะห์ต้นทุนต้องทำด้วยมือ ใช้เวลานานและผิดพลาดได้ง่าย
ถ้ามีระบบ:
- ใบแจ้งหนี้สามารถแนบเข้าระบบและเชื่อมกับรายการสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ
- ระบบสามารถออก รายงานต้นทุนวัตถุดิบ (COGS) ได้ตามช่วงเวลา เมนู หรือซัพพลายเออร์
- เชื่อมต่อกับระบบบัญชีอย่าง PEAK หรือ FlowAccount เพื่อส่งข้อมูลบัญชีได้ทันที
- ผู้บริหารสามารถดูรายงานวิเคราะห์ยอดใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ พร้อมกราฟและแดชบอร์ด
สรุป: อย่างมีกลยุทธ์ เริ่มต้นจากระบบที่ดี
ซื้อวัตถุดิบอย่างมีกลยุทธ์ เริ่มต้นจากระบบที่ดี
ในการบริหารร้านอาหารให้เติบโตอย่างยั่งยืน หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ “การจัดซื้อวัตถุดิบ” ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจ หากบริหารจัดการไม่ดี ย่อมกระทบโดยตรงต่อกำไร ความต่อเนื่องในการให้บริการ และความพึงพอใจของลูกค้า
หลายร้านอาหารยังคงจัดซื้อแบบกระจายตัว พนักงานแต่ละสาขาอาจโทรสั่งของเอง จดใส่กระดาษ หรือใช้แอปแชตทั่วไปในการแจ้งซื้อ ทำให้เกิดปัญหาอย่างเช่น สั่งวัตถุดิบเกินกว่าที่จำเป็น ซ้ำซ้อนกับอีกสาขา สั่งของผิดชนิด ผิดราคาหรือผิดช่วงเวลา จนส่งผลให้วัตถุดิบล้นสต๊อก เสียหายก่อนใช้งาน หรือกลายเป็นต้นทุนจมที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
การจัดซื้อวัตถุดิบจึงไม่ควรเป็นแค่ “ขั้นตอนภายใน” แต่ควรยกระดับเป็น “กลยุทธ์ขององค์กร” โดยเริ่มจากการวางระบบที่มีมาตรฐาน ตั้งแต่การร้องขอวัตถุดิบ (Requisition) การอนุมัติคำสั่งซื้อ (Approval) การเชื่อมต่อกับซัพพลายเออร์ การตรวจสอบสต๊อก และการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง ทุกจุดเหล่านี้ต้องทำงานประสานกันเพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุด ลดความผิดพลาด และควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ระบบจัดซื้อที่ดีควรช่วยให้คุณสามารถ:
- รวมออเดอร์จากทุกสาขาไว้ในที่เดียว เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของความต้องการวัตถุดิบทั้งหมด
- เปรียบเทียบราคาจากซัพพลายเออร์หลายราย ได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส
- ตั้งงบประมาณการซื้อได้ล่วงหน้า และตั้งค่าแจ้งเตือนเมื่อเกินงบ
- ตรวจสอบสถานะคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ ลดความล่าช้าในการจัดส่ง
- วิเคราะห์แนวโน้มการใช้วัตถุดิบย้อนหลัง เพื่อนำไปใช้วางแผนการซื้อในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ การมีระบบกลางที่ทุกคนในทีมสามารถเข้าถึงได้ ยังช่วยลดระยะเวลาในการฝึกพนักงานใหม่ เพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และสร้างวัฒนธรรมการจัดการต้นทุนอย่างมืออาชีพในองค์กร
ในยุคที่การแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารสูงขึ้นทุกวัน การมี “ระบบจัดซื้อที่ดี” ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบายอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณนำหน้าคู่แข่ง เพิ่มกำไร และบริหารธุรกิจได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
ระบบจัดซื้อที่ดีช่วยให้ร้านอาหารสามารถควบคุมต้นทุนได้แม่นยำ ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของวัตถุดิบได้แบบเรียลไทม์ และลดภาระงานซ้ำซ้อนของพนักงาน ไม่ว่าจะมี 1 หรือ 10 สาขา ก็สามารถรวมการสั่งซื้อไว้ในที่เดียว ทำให้มองเห็นภาพรวม และวางแผนการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การใช้ระบบอย่าง Food Market Hub ช่วยให้ร้านอาหารทำงานได้เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างเห็นผล
👉 ทดลองใช้ Food Market Hub ฟรี
ระบบจัดซื้อสำหรับร้านอาหารที่ช่วยควบคุมต้นทุน จัดการซัพพลายเออร์ และทำให้ทุกขั้นตอนของร้านเป็นมืออาชีพ
รับเดโมฟรีที่นี่ หรือ LINE OA: @foodmarkethubth