การจัดการร้านอาหารมักจะมาพร้อมกับความท้าทายหลายด้าน และหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดคือการติดตาม ต้นทุนสต๊อก หากไม่มีการคำนวณต้นทุนสต๊อกที่ถูกต้อง อาจทำให้คุณไม่รู้ว่ากำลังใช้จ่ายไปเท่าไหร่ในการจัดซื้อวัตถุดิบ ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งราคาผิดพลาด กำไรที่ลดลง หรือแม้กระทั่งการขาดทุนในระยะยาว

ต้นทุนสต๊อกคืออะไร?
ต้นทุนสต๊อก (Inventory Costing) คือกระบวนการในการคำนวณว่าคุณใช้จ่ายไปเท่าไหร่สำหรับวัตถุดิบและอุปกรณ์ในช่วงเวลาหนึ่ง การคำนวณต้นทุนสต๊อกช่วยให้คุณสามารถติดตามค่าใช้จ่าย ตั้งราคาขายได้อย่างเหมาะสม และคำนวณกำไรที่แท้จริงของร้านอาหาร หากคุณไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับต้นทุนสต๊อก อาจทำให้คุณสูญเสียเงินโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่าง: หากคุณซื้อไก่ 100 กิโลกรัมในราคาที่ต่างกันตลอดเดือน คุณจะคำนวณต้นทุนของไก่ที่ใช้ในจานอาหารได้อย่างไร? นี่คือที่มาของ วิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อก ที่จะช่วยให้คุณคำนวณได้อย่างแม่นยำ
ทำไมต้นทุนสต๊อกถึงสำคัญ?
การคำนวณต้นทุนสต๊อกที่ถูกต้องทำให้คุณรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายในการเตรียมจานอาหารแต่ละจานเท่าไหร่ และช่วยในการตั้งราคาขายอย่างมั่นใจ หากคุณไม่ใช้วิธีการที่ถูกต้องในการคำนวณต้นทุนสต๊อก คุณอาจตั้งราคาขายสูงเกินไป จนทำให้ลูกค้าไม่พอใจ หรือราคาต่ำเกินไปจนทำให้ร้านขาดกำไร
นอกจากนี้ ต้นทุนสต๊อก ยังมีบทบาทสำคัญในการรายงานทางการเงินและการคำนวณภาษี ต้นทุนของสินค้าที่มีอยู่ในมือและต้นทุนของสินค้าที่ขายไป (COGS) จะส่งผลโดยตรงต่อ งบการเงิน ของร้านอาหาร ตามข้อมูลจากสมาคมร้านอาหารแห่งชาติ (National Restaurant Association) ต้นทุนอาหารคิดเป็นประมาณ 28%-35% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในร้าน การใช้วิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อกที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้และเพิ่มกำไรได้
วิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อก (Inventory Costing Methods)
มีหลายวิธีในการคำนวณต้นทุนสต๊อก และแต่ละวิธีจะมีผลต่อรายงานทางการเงินของร้านอาหารในลักษณะที่แตกต่างกัน วิธีที่คุณเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับลักษณะการจัดซื้อและการใช้วัตถุดิบในร้านของคุณ นี่คือวิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อกที่นิยมใช้ในร้านอาหาร
วิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อกหลัก
- FIFO (First-In, First-Out) Accounting
FIFO ย่อมาจาก “First-In, First-Out” ซึ่งหมายถึงการใช้สินค้าที่มีอายุมากที่สุดก่อน ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อปลาแซลมอน 10 กิโลกรัมในราคา 50 บาทต่อกิโลกรัมในวันจันทร์ และซื้อแซลมอน 10 กิโลกรัมในราคา 55 บาทต่อกิโลกรัมในวันพุธ ระบบ FIFO จะใช้แซลมอนที่ราคาถูกที่สุดก่อน โดยใช้ 50 บาทต่อกิโลกรัม
ข้อดี: ช่วยรักษาความสดของวัตถุดิบ ลดของเสีย และเหมาะสำหรับการจัดการวัตถุดิบที่เน่าเสียเร็ว เช่น ผักและเนื้อสัตว์
ข้อเสีย: เมื่อราคาเพิ่มขึ้น FIFO อาจทำให้กำไรดูสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายภาษีที่สูงขึ้น - LIFO (Last-In, First-Out) Accounting
LIFO ย่อมาจาก “Last-In, First-Out” ซึ่งหมายถึงการใช้สินค้าที่เพิ่งซื้อใหม่ล่าสุดก่อน ตัวอย่างเช่น หากใช้แซลมอนที่ซื้อในราคาสูงกว่า 55 บาทก่อน การคำนวณ COGS จะสูงขึ้นเมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
ข้อดี: ลดภาษี เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าจะทำให้กำไรดูต่ำลง
ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับการจัดการร้านอาหาร เนื่องจากทำให้เกิดการทิ้งสินค้าที่มีอายุยาวและอาจนำไปสู่การเสียหายจากวัตถุดิบที่ไม่ได้ใช้ - Weighted Average Cost (WAC) Method
วิธีนี้คำนวณต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าทั้งหมดและใช้ค่าเฉลี่ยนั้นในการคำนวณต้นทุนสินค้า ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อแซลมอน 10 กิโลกรัมที่ราคา 50 บาทและอีก 10 กิโลกรัมที่ราคา 55 บาท ค่าเฉลี่ยจะเป็น (10 x 50 + 10 x 55) / 20 = 52.50 บาทต่อกิโลกรัม
ข้อดี: คำนวณง่าย ลดการผันผวนของราคาสินค้า
ข้อเสีย: อาจไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเมื่อราคาสินค้าผันผวนมาก - Specific Identification Method
วิธีนี้ติดตามต้นทุนของสินค้าทุกชิ้นอย่างละเอียด ใช้กับสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือสินค้าที่ไม่ซ้ำกัน เช่น เนื้อวัวพันธุ์พิเศษ
ข้อดี: ให้ข้อมูลที่แม่นยำ
ข้อเสีย: ต้องมีการติดตามที่ละเอียดและไม่เหมาะกับสินค้าที่ใช้ทุกวันในร้าน

การเลือกวิธีคำนวณต้นทุนที่เหมาะสม
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับร้านอาหารส่วนใหญ่คือ FIFO เพราะมันช่วยให้ใช้วัตถุดิบให้หมดก่อนที่สินค้าจะหมดอายุ และลดการสูญเสียจากของเสีย แต่หากร้านของคุณมีการเปลี่ยนแปลงราคาของวัตถุดิบบ่อย ๆ การใช้ WAC อาจเหมาะสมกว่า
การใช้ระบบ การจัดการสต๊อกในร้านอาหาร เช่น FMH จะช่วยให้การติดตามและคำนวณต้นทุนสต๊อกเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำ ระบบเหล่านี้สามารถติดตามการซื้อ การใช้ และต้นทุนสินค้าโดยอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดและประหยัดเวลา การใช้ระบบจัดการสต๊อกในร้านอาหารช่วยลดของเสียได้ถึง 30% ตามการสำรวจจาก Leanpath
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
- วิธีคำนวณต้นทุนสต๊อกมีทั้งหมดกี่วิธี?
มี 4 วิธีหลักในการคำนวณต้นทุนสต๊อก ได้แก่ FIFO, LIFO, WAC, และ Specific Identification โดยแต่ละวิธีเหมาะสมกับความต้องการของร้านอาหารที่แตกต่างกัน - วิธีคำนวณต้นทุนสต๊อกที่ดีที่สุดคืออะไร?
FIFO เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับร้านอาหารส่วนใหญ่ เพราะช่วยให้รักษาความสดของวัตถุดิบและลดของเสียได้ แต่หากราคาสินค้าผันผวนบ่อย WAC อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การใช้วิธีการคำนวณต้นทุนสต๊อกที่ถูกต้องและการใช้ ระบบการจัดการสต๊อก เช่น FMH จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มกำไรให้กับร้านอาหารของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ